วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พาเที่ยวชมวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร


สวัสดีคะวันนี้พิมพ์เสนจะพาเพื่อนๆเที่ยววัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือ ที่ชาวนครเรียกว่า วัดพระธาตุ นะค่ะ โบราณสถานสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็น มิ่งขวัญชาวเมืองนครศรีธรรมราชตลอดจนพุทธศานิกชน  ทั้งหลาย สัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่รู้จัก กันแพร่หลายก็คือ พระบรมธาตุเจดีย์  ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เนื่องจากเป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถาน นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้


 

 

พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์สถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีจุดเด่นที่ยอดเจดีย์ ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้ จากความเชื่อ มีการเล่าสืบตอนกันมาว่าองค์พระธาตุประกอบด้วยทองรูปพรรณและของมีค่ามากมายจรดปลายเจดีย์ ซึ่งสิ่งของมีค่า เหล่านี้พุทธศสานิกชนนำมาถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้ตนได้พบกับนิพพาน จากคำขวัญประจำจังหวัด นครศรีธรรมราชคือ เมืองประวัติศาสตร์ พระธาตุทองคำ ชื่นฉ่ำธรรมชาติ แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสามกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ ครบสิ้นกุ้งปข้อความว่า พระธาตุทองคำ จึงหมายถึง ยอดเจดีย์ทองของพระบรมธาตุนั่นเอง และหากใครต้องการ ชมยอดพระธาตสีทองเหลืองอร่ามอย่างใกล้ชิด มีบริการกล้องส่องทางไกลให้ใช้บริการในราคาไม่แพงคะแล้ว แต่ตกลง กันว่าจะชื่นชมความงดงามนั้นนานเพียงใด ด้วยความมีชื่อเสียงและศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมธาตุเจดีย์ ดึงดูดให้ผู้คน จากทั่วสารทิศแวะมากราบไหว้ขอพรคู่ไปกับ

 

 

พิธีปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
คือ การนำผ้าขึ้นธาตุแห่ผ้าขึ้นธาตุ คือ การแห่ผ้าผืนยาวไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการนำขึ้นห่มโอบล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีที่ประชาชนชาวนครศรีธรรมราช ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน
การแห่ผ้าขึ้นธาตุคะ
                  

ความเชื่อ
เชื่อว่าการทำบุญและการกราบไหว้บูชาที่ให้ได้กุศลจริง จะต้องปฏิบัติต่อพระพักตร์และให้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด
การนำผ้าไปบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ด้วยการโอบรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ถือเป็นการบูชาที่ใกล้ชิดกับพระพุทธองค์ มีประชาชนมากมายจากทุกสารทิศจึงมุ่งหมายมาสักการะเมื่อถึงวันดังกล่าว
การจัดขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุ
แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุจะนัดหมายโดยพร้อมเพรียงกันเป็นขบวนใหญ่ แต่ในปัจจุบันการเดินทางสะดวกขึ้น ผู้คนที่ศรัทธาก็มาจากหลายทิศทาง ต่างคนต่างคณะก็เตรียมผ้ามาห่มพระธาตุ ใครจะตั้งขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุในเวลาใดก็สุดแต่ความสะดวก แต่เมือก่อนตอนที่ฉันยังเด็กๆแม่จะพาฉันไปตั้งแต่ตอนเช้า  แต่ตอนนี้แล้วแต่ใครสะดวกเวลาไหนขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงมีตลอดทั้งวันโดยไม่ขาดสาย เดิมขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุทุกขบวนนิยมใช้ดนตรีพื้นบ้านนำหน้าขบวน ได้แก่ ดนตรีหนังตะลุง ดนตรีโนรา แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นกลองยาว บรรเลงจังหวะที่ครึกครื้น เพื่อช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน ขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุจะเดินเป็นแถวเรียงเป็นริ้วยาวไปตามความยาวของผืนผ้า ทุกคนชู (เทิน) ผ้าพระบฏไว้เหนือศีรษะ ทั้งนี้เพราะความเชื่อกันว่าพระบฏเป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้า จึงควรถือไว้ในระดับสูงกว่าศีรษะ
ระยะเวลา
การแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้งคะคือ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสาม (วันมาฆบูชา) และวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (วันวิสาขบูชา) โดยนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
การเตรียมผ้าพระบฏ
ผ้าพระบฏเป็นผ้าซึ่งเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ ปัจจุบันการทำผ้าพระบฏ เป็นการหายากและต้นทุนสูง จึงใช้เป็นผ้าขาว ผ้าเหลือง ผ้าแดง จะตระเตรียมผ้าขนาดความยาวตามความศรัทธาของตน เมื่อไปถึงวัดก็จะนำผ้ามาผูกต่อกันเป็นขนาดยาวที่สามารถห่มพระธาตุรอบองค์ได้
การนำผ้าขึ้นห่มพระธาตุ
การทำพิธีถวายผ้าพระบฏ มีหัวหน้าคณะกล่าวนำ หลังจากทุกคนกล่าวคำถวายผ้าพระบฏเรียบร้อยแล้ว จะแห่ทักษิณาวัตรรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ 3 รอบ แล้วนำผ้าเข้าสู่วิหารพระทรงม้า นำผ้าพระบฏขึ้นโอบรอบพระบรมธาตุเจดีย์


                
 
 
 ตามตำนานเชื่อว่าฟังให้ดีนะคะ หากใครได้นำผ้าขึ้นธาตุ และบนขอพรใน เรื่องใด
จะขอให้หายเจ็บหายไข้ ขอให้ได้ลูก ขอเรื่องการงานการเรียน สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงดังหวัง  เป็นปกติในทุกปีช่วงวันมาฆและวันวิสาขบูชา จะจัดงานแห่ผ้าขึ้นธาตุซึ่งถือเป็น งาน บุญประจำปีที่มีผู้คนจากทั่วสารทิศมาร่วมสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่นี้ั ถ้าใครจะมาทำบุญในวันสำคัญนี้ของบอกหน่อยนะคะว่าต้องมาแต่เช้าความเพราะรถไม่ติด ถ้าคุณมาสายรับรองเลยคะว่ารถติดเหมือนกทมเลยคะ มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของ องค์พระบรมธาตุ คือ องค์พระธาตุจะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด ซึ่งยังไม่มี ใครตอบ ได้ว่าเป็นเพราะอะไร จากความมหัศจรรย์นี้




 


 

นอกจากพระบรมธาตุเแล้วเจดีย์องค์เล็กที่รายล้อมรอบองค์พระธาตุมากมายเป็นสิงที่แปลกตาแก่นักท่องเที่ยว ที่ได้พบเห็น เจดีย์นี้เรียกว่า องค์เจดีย์บริวาร ซึ่งมีทั้งหมด 149 องค์เจดีย์บริวารถ้าดิฉันจำไม่ผิดนะคะ คือ เจดีย์ที่ลูกหลานบรรพบุรุษ ได้สร้างไว้สืบต่อกัน มาเรื่อยๆเพื่อบรรจุอัฐิของญาติผู้ล่วงลับไปแล้วโดยอธิษฐานว่าขอให้ญาติของตนได้มาเกิด ในศาสนา ของพระพุทธองค์อีกครั้งในภพหน้า นอกจากความหัศจรรย์ของพระธาตุไร้เงาแล้ว เจดีย์บริวารที่ เรียงราย ล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเป็นสิ่งมหัศจรรย์ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นจากที่ใดเช่นกัน





 

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การทำข้าวต้มมัด

บ้านของดิฉันปลูกกล้วยน้ำว้าเยอะมาก จะปลูกร่วมกับต้นยางพารา เวลาที่กล้วยออกผลก็ไม่รู้จะพาไปไหนเพราะว่าจะกินผลก็กินไม่หมดมันเยอะเกิน คุณยายจะเอามาทำข้าวต้มมัด ทำให้ลูกหลานชอบกินข้าวต้มมัดกันมาก คุณยายบอกว่า ในสมัยก่อน คนโบราณยกให้ข้าวต้มมัดเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคนมีคู่ เพราะมีลักษณะการจับขนม 2 ชิ้น มามัดเข้าไว้ด้วยกัน และมีความเชื่อว่า ถ้าหนุ่มสาวคู่ไหนทำบุญวันเข้าพรรษาด้วยข้าวต้มมัด ความรักมักจะดี ชีวิตคู่ครองจะคงอยู่นานตลอดกาล เหมือนกับข้าวต้มมัดที่ผูกกันติดหนึบนั่นเอง คนโบราณผู้มีคู่ก็เลยนิยมทำข้าวต้มมัดไปถวายพระในวันเข้าพรรษานั่นเอง โอ้
โห !
            เรามาดูการทำข้าวต้มกันค่ะ บอกเลยนะคะว่าการทำข้าวต้มไม่ยากอย่างที่คุณคิดนะ เราเป็นเด็กสมัยใหม่เราควรอนุรักษ์ประเพณีไทยบ้างจ๊ะ



 

สูตรของดิฉันเป็นแบบนี้นะคะ

 
ข้าวเหนียวเขี้ยวงู เราใช้ข้าวเหนียวกลางปีนะคะ 1 กิโลกรัม

 
 
 ข้าวเหนียวตราเขี้ยวงู

             สำหรับข้าวต้มมัดไส้กล้วย


หัวกะทิ 200-250 กรัม

น้ำตาลทราย 150-180 กรัม
ดอกเกลือ 1-2 ช้อนชา หรือใช้วิธีชิมเอาค่ะ
กล้วยน้ำว้าสุก 1 หวี ล้างสะอาดปอกเปลือกผ่าครึ่ง
 
 
                                วิธีการทำ

 

- ซาวข้าวเหนียวให้สะอาดสักสองสามครั้ง แช่ข้าวเหนียวในน้ำคั้นผสมน้ำเปล่าพอให้ท่วมข้าว  ใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง (ใครใช้ข้าวใหม่กว่านี้ลดเวลาลงได้นะคะ)
 




 
 
 

เราแช่ข้าวเหนียวเอาไว้  แล้วก็ออกไปลั้ลลา หาอย่างอื่นทำไปเรื่อย  เช่น  ซักผ้า กวาดขยะ ดูทีวีเล่นไลน์เป็นต้น


ครบเวลาแล้วค่ะ เทน้ำออกจากข้าวเหนียวแล้วพักในกระชอนให้สะเด็ดน้ำ

 
 

 

- ใช้น้ำเดือด ๆ เทลงในกาละมังที่ใส่มะพร้าวขูดไว้  เราใส่น้ำร้อนเยอะเกินไป ทำให้คั้นไม่ได้สักทีเพราะมันร้อนจัด  เลยเติมน้ำเข้าไปอีกแยะ
กลายเป็นไม่ได้หัวกะทิข้น ๆ เลย

ถ้าใครจะคั้นกะทิเอง ใช้น้ำร้อนไม่ต้องเยอะ พักสักครู่แล้วค่อย ๆ เติมน้ำธรรมดาลงไปดีกว่านะคะ  
คั้นกะทิโดยขยำมะพร้าวให้ทั่ว ๆ แล้วกรองผ่านกระชอนที่รองผ้าขาวบางไว้อีกทีหนึ่ง
การคั่นน้ำกระทิ
 
 



นำหัวกะทิใส่กระทะทองเหลืองแต่เราไม่มีใช้กระทะตั้งไฟกลาง
พอหัวกะทิเริ่มร้อน ใส่เกลือป่นและน้ำตาลทรายลงไป 
ใช้พายคนให้น้ำตาลและเกลือป่นละลาย หมั่นคนตลอดเวลาอย่าให้หัวกะทิแตกมัน
ลองชิมรส ใครอยากเพิ่มเกลือป่นหรือน้ำตาลทรายก็ตามใจชอบเลยค่ะ

 

-

 
 
 






- ใส่ข้าวเหนียวที่แช่ได้ทีแล้วลงไปผัดกับกะทิ  คนให้เข้ากัน ใช้ไฟอ่อนค่ะ
ใช้เวลาในการผัดประมาณ 15นาทีนะคะ
ใช้พายผัดให้เข้าเหนียวเข้ากับหัวกะทิ
ย้ำว่าใช้วิธีการผัดไปมา จากด้านล่างขึ้นด้านบนนะคะ อย่ากวนเพราะการกวนจะทำให้เมล็ดข้าวเหนียวแตก
ดูไม่น่าทาน

ผัดไปสักพักหัวกะทิก็จะเริ่มงวดเสมอกับข้าวเหนียว รูปนี้กำลังจะได้ที่แล้วค่ะ
 
 
 

 
 จากนั่นเราก็ตักข้าวเหนียวที่เราผัดเสร็จแล้วมาใสภาชนะ แล้วรอให้ข้าวเย็น

- แล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย ตอนสนุกที่สุดของการทำข้าวต้มผัดที่เราอยากทำ คือขั้นตอนนี้แหละค่า

เตรียมข้าวของให้พร้อมนะคะ 
มาดูกันคะว่าการหอข้าวต้มนั่นมีอะไรบ้าง ใบตอง กรรไกร กล้วยน้ำหว่าที่ผ่าซีกแล้ว ตอกสำหรับมัดคะ
 
ใบตองเช็ดทำความสะอาด จากนั้นฉีกให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ
เจียนใบตองเป็นสองขนาด ด้านนอกจะใหญ่กว่าด้านในเล็กน้อยเตรียมไว้
จากนั้นนำไปตากแดดให้ใบตองมีลักษณะพอนิ่ม เวลาห่อและมัดจะได้ไม่แตก
แต่บ้านเราช่วงนี้หาแดดไม่เจอเลยต้องใช้วิธีลัด
นั่นคือนำไปใส่ในเตาอบ ใช้ฟังก์ชั่นกริลล์ ใส่ลงไปแค่ไม่ถึง 5 วินาที
ใบตองก็จะนิ่มได้ที่แล้วค่ะ
 

ใบตองได้แล้วนะคะ
 
 
กล้วยคะ

 

1นำใบตองชั้นนอกและชั้นในมาวางสลับหัวสลับหาง ซ้อนกันดังภาพ
ถ้าอยากได้ลายสวยๆ เราต้องเฉียงไปตองชั้นในเหมือนในรูปนะคะ

 
 
2.ตักข้าวเหนียวผัดใส่ลงไปตรงกลาง ตามด้วยกล้วยที่เราหั่นเตรียมไว้
 
 
3.ยกห่อข้าวต้มมัดมาวางลงไปในอุ้งมือ จากนั้นใช้อุ้งมือบีบให้ข้าวเหนียวมาห่อกล้วย
ส่วนที่ว่างด้านบนก็เติมเข้าเหนียวลงไปให้มิด แล้วบีบให้แน่นอีกรอบ
 
 4.พับใบตองด้านหนึ่งเข้าไปด้านใน


5.ส่วนอีกด้านพับครึ่งแล้วพับทบลงไปบนใบตองส่วนแรกที่เราพับไว้

6.จากนั้นก็ทำการจีบนมสาวลงไปตรงกลางปลายใบตองทั้งสองด้านเลยค่ะ เรียกแบบนี้ถูกรึเปล่าน๊า

7.จากนั้นนำมาประกบคู่แล้วใช้ตอกมัดให้แน่นเลยค่ะ ยายสอนไว้มัดยิ่งแน่นขนมยิ่งอร่อย


8.วางเรียงในลังถึง เตรียมนึ่งกันเลยค่ะ
ไปไปนึ่งในซึ้งที่น้ำเดือดไฟแรง ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ
ถ้าใครใช้กล้วยน้ำว้าน่าจะนึ่งนานอีกสักนิดเพื่อให้กล้วยมีสีแดงสวย
แต่ยังงัยก็ลองเอามาเช็คดูถ้าข้าวเหนียวสุกทั่วถึงก็ใช้ได้แล้วค่ะ



                        สุกแล้วคะ รับประทานกันด้วยไม่คะ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การต้มถั่วเขียวใสน้ำตาล




วันนี้ดิฉันมาบอกสูตรการต้มถั่วเขียวใสน้ำตาล พ่อแม่ของดิฉันชอบทานถั่วเขียวใสน้ำตาลมาก ท่านบอกฉันเสมอว่าในถั่วเขียว นั่นมีคุณค่าทางโภชนาการ มากมาย ทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซี่ยม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส เส้นใยอาหาร ที่สำคัญในถั่วเขียวนั้นมี โปรตีนสูง พอๆ กับการรับประทานอาหาร จำพวก เนื้อสัตว์ เลยทีเดียว สำหรับคุณค่าทางสมุนไพร ของถั่วเขียวนั้น สามารถรักษา อาการเจ็บคอ หรือสามารถ แก้ไข้หวัดลงคอ และทำให้ อาการระคายเคือง ภายในคอ ลดลงได้ อีกด้วย นอกจากนี้ ถั่วเขียวยังมี สรรพคุณทางสมุนไพร ที่ช่วยในการรักษา อาการร้อนใน หรือเมื่อมีแผลเกิดขึ้น ภายในช่องปาก หรือริมฝีปาก หากดื่มน้ำถั่วเขียว ก็ช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้ มาดูขั้นตอนการต้มถั่วเขียวใสน้ำตาลคะ



ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

ส่วนผสม
ถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายแดง 1 ½ ถ้วยตวง
เกลือป่น ½ ช้อนชา
น้ำเปล่า 7-8 ถ้วยตวง
 





วิธีเลือกซื้อถั่วเขียว
 


    ถั่วเขียวมีขายอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปหรือตามร้านค้า ตลาดสดต่างๆ ส่วนใหญ่จะบรรจุอยู่ในถุง ควรเลือกซื้อถั่วเขียวที่มีเมล็ดสีเขียวสด ไม่เปื่อยยุ่ย ไม่มีสีขาวๆของเชื้อรา ถุงไม่มีรอยฉีกขาด และควรดูวันหมดอายุด้วยนะคะ วันหมดอายุจะอยู่ด้านหลังของถุงคะ
 
ขั้นตอนการทำ
 
 
 
1.แกะถุงถั่วขียวแล้วใสภาชนะที่เตรียมไว้ การแกะถุงถั่วเขียวนั่นเราใช้กรรไกรตัดทีปากถุงถั่วเขียวเป็นแนวนอนโดยการใช้มือซ้ายจับปากถุงด้านซ้ายมือเพือ ยกถุงขึ้นแล้วใช้มือขวาจับกรรไกรเพือนำกรรไกรมาตัดปากถุงด้านขวามือพอประมาณ
2.เทน้ำลงภาชนะที่มีถั่วเขียวแล้วล้างสิ่งสกปรกและกากที่ติดมากับถั่วเขียวให้สะอาด โดยการใช้มือทั้งสองข้างซ้อนเมล็ดถั่วเขียวขึ้นลงประทาณ 2-3นาที
เพือทำล้างทำความสะอาดถั่วเขียวและคัดเมล็ดที่เสียออก
 
3.แช่ถั่วเขียวในน้ำสะอาด คือให้เทน้ำลงในภาชนะที่เตรียมไว้ให้มากกว่าถั่วเขียวสองถึงสามเท่าตัว จากนั่นก็เอาถั่วเขียวมาใสในภาชนะที่มีน้ำอยู่ แช่ไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นก็ได้เพื่อให้เมล็ดพองตัวและง่ายต่อการต้ม เพราะจะได้ใช้เวลาในการต้มไม่นานนัก หากแช่ในน้ำแล้วมีเมล็ดถั่วเขียวลอยขึ้นมา ให้ตักเมล็ดที่ลอยขึ้นมาออก เพราะว่าเมล็ดที่ลอยมานั้นเป็นเมล็ดที่ไม่มีคุณภาพ เมล็ดที่มีคุณภาพคือจมอยู่ในน้ำไม่ลอยขึ้นมา
 
 
4.เมื่อเวลาผ่านไป6-8ซม เราจะเห็นว่าเมล็ดถั่วเขียวพองตัวดีแล้ว ใส่น้ำ 7-8 ถ้วยตวงลงในหม้อ ตั้งไฟ รอน้ำเดือดจึงใส่ถั่วเขียว
5.ระหว่างรอน้ำเดือด กรองเมล็ดถั่วเขียวทั้งหมดออกจากน้ำ โดยการใช้กระใช้กระชอนขนาดกลาง ใช้มือซ้ายจับที่ด้ามกระกระช้อนให้แน่นแล้วเอามือข้างหนึ่งตักถั่วเขียวใสในกระชอน จากนั่นน้ำเดือดใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป ต้มไปสักประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วใช้จวักคนให้ทั่ว เมื่อถั่วเขียวแตกตัวดีแล้ว เราจะรู้ได้ไงใช่ไหมคะว่าถั่วเขียวแตกตัวดีแล้ว ดิฉันมีเทคนิคง่ายๆในการสั่งเกตคะให้ใช้ช้อนกินข้าวตักถั่วเขียวจากจากหม้อที่ตั้งไฟมาสัก10เม็ดจากนั่นก็ใช้นิ้วชี้กดไปที่เมล็ดถั่วถ้าเมล็ดถั่วเขียวแตกแสดงว่าถั่วเขียวสุกแล้วจากนั่นก็ ก็ใส่เกลือป่น ½ ช้อนชา และน้ำตาลแดง 1 ½ ถ้วยตวงที่เตรียมไว้แล้วจวักคนอีกรอบคะ
น้ำเดือดแล้วคะ
 
ใสน้ำตาลลงไปคะ
 
 
 
 
 
7.รอจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสชาติ ถ้าต้องการหวานกว่านี้ก็ให้ใส่น้ำตาลเพิ่ม
8.ปิดแก๊ส ตักใส่พาชนะพร้อมเสิร์ฟ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การดูแลผิวหน้าให้ห่างไกลจากสิว

ดิฉันเมือก่อนเป็นคนที่มีผิวหน้ามันแล้วก็เป็นสิวเยอะมาก เวลาไปไหนก็ไม่มันใจเลย พีสาวพาไปรักษาคลิกนิกหมอต่างๆก็ไม่หาย เป็นเวลาหลายปีที่ดิฉันไม่ค่อยไม่มันใจในตัวเองเลย เพราะเป็นสิวที่ใบหน้าเยอะมาก บางครั้งถ้าจะรวบผมก็ไม่มันใจเพราะมีสิวยุบนใบหน้า ดิฉันคิดหาวิธีเสาะหาวิธีต่างๆในการดูแลผิวหน้าให้ห่างไกลสิว








            มาดูกันคะว่าทำอย่างไรให้ห่างไกลจากสิว                  
 
 
1.ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้าห่มอาทิตย์ละ1ครั้ง เมื่อก่อนดิฉันเปลี่ยน2อาทิตย์ต่อครั้งเลยทำให้ผิวหน้าเป็นสิวเพราะมันเกิดจากสิ่งฝุ่นละอองไปสะสมบนใบหน้าเลยให้ผิวหน้าปกปรกและแพ้
2.ห้ามเกาะสิวหรือบีบเพราะจะทำให้หน้าอักเสบเพราะบางครั้งมือเราไม่สะอาดอาจก่อให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นอีก
3.ควรออกกำลังกาย2_3ครั้งต่อสัปดาห์เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อให้สิ่งไม่ดีออกตามร่างกายและรู้ขุมขน
 
4. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อาทิเช่น ผักผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงของหวานเช่นช็อคโกแลต ขนมเค้กเป็นต้น
5.ผักผ่อนให้เพียงพอเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ห้ามนอนดึกและควรดื่มน้ำเยอะๆอย่างน้อยวันละ7-8แก้วต่อวัน
6.อย่ากลั่นการถ่ายหนักถ่ายเบาเพราะทำให้ของเสียในร่างกายส่งผลประทบของร่างกาย
 
เทคนิคการทำการทำความสะอาดบนใบหน้า

ดิฉันได้ทดลองวิธีนี้มาเป็นระยะเวลา3เดือน ซึ่งดิฉันคิดว่าใบหน้าของดิฉันดีขึ้นจากเมือก่อน ใครๆก็ทักว่าๆไปทำอะไรมาทำไมสิวดูลดน้อยลงกว่าเมือก่อนทำให้ดิฉันมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเหมือนก่อน เพราะสิวบนใบหน้าเยอะมาก
 อยากรู้ใช่ไหมคะว่ามันมันวิธีอะไร 

มันนแอนด์-นอร์มอลซาไลน์




มันนแอนด์-นอร์มอลซาไลน์ หรือเรียกว่าน้ำเกลือซึ่งปราศจากเซื้อโรคดิฉันใช้มันคลีนแอนด์-นอร์มอลซาไลน์ เช็ดทำความสะอาดบนใบหน้าก่อนอาบน้ำทุกครั้งก่อนอาบน้ำ คือเอาสำลีแบบแผ่นที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจากนั้นเปิดฝาแล้วเทน้ำเกลือลงบนสำที่พอประมาณแล้วน้ำมาเช็ดทำความสำอาดบนหน้าเพือให้เครื่องสำอางหรือฝุ่นละอองที่เกาะบนใบหน้าหลุดออกก่อนจะไปอาบน้ำชำระร่างกายอีกครั้ง เพราะบางครั้งการที่เราอาบน้ำแล้วล้างหน้าด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้ามันยังไม่สะอาดพออาจทำให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาได้อีกเพราะฉะนั่นควรใช้น้ำเกลือช่วยในการทำความสะอาดใบหน้าทุกครั้งก่อนอาบน้ำ



 
 
 
 

การทำแกงไตปลา

แกงไตปลา   แกงไตปลา เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของภาคใต้ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งเผ็ดและร้อนแรง รสเข้มข้นด้วยส่วนผสมที่ลงตัว จะเลือกรับประทานร่วมกับข้าวหรือขนมจีนก็อร่อยไม่แพ้กัน     แกงไตปลามีทั้งชนิดไม่ใส่กะทิและใส่กะทิ สำหรับแกงไตปลาไม่ใส่กะทิ จะได้รับความนิยมมากกว่าแกงไตปลาชนิดใส่กะทิ










คุณค่าอาหารทางโภชนาการ

       แกงไตปลาเป็นอาหารประจำถิ่นของภาคใต้ แต่ปัจจุบันไม่ว่าจะเดินทางไปภาคไหนเราได้ชิมรสแกงไตปลากันทั่ว หน้า เพียงแต่ว่าจะเป็นตำรับดั้งเดิมของชาวปักษ์ใต้หรือไม่ก็คงต้องดูกันอีกที เมื่อนึกถึงแกงไตปลาเราก็จะนึกถึงความเผ็ด ความร้อน เพราะว่าเครื่องแกงจะมีความเผ็ดจากพริกขี้หนู และพริกไทย ทั้งสองอย่างเมื่อผสมรวมกันในเครื่องแกงก็จะทำให้แกงไตปลามีทั้งความเผ็ดและความร้อน นอกจากนี้คำว่าไตปลาก็คือพุงปลาที่นำไปหมัก การหมักก็ต้องอาศัยเกลือ ก็แน่นอนว่าไตปลาต้องมีความเค็ม เพราะฉะนั้นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงไตปลาก็คือ เผ็ด ร้อน และเค็ม เวลาที่นำมาปรุงก็จะปรุงได้สองแบบคือแบบใส่กะทิ กับไม่ใส่กะทิ ส่วนใหญ่แกงไตปลาที่นิยมกันทั่วไปคือ แกงไตปลาที่ไม่ใส่กะทิ ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะการใส่กะทิจะทำให้ไขมันเพิ่มมากขึ้น แกงไตปลานั้น มีทั้งความเค็มและความเผ็ด แล้วถ้าเพิ่มความมันอีก ก็ทำให้เวลารับประทานทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ โดยทั่วไปก็จะมีถั่วฝักยาว ฟักทอง มะเขือ แต่ถ้าเป็นอาหารประจำถิ่นจะมีการใส่ผักพื้นบ้านเช่น ใบส้มแป้นลงไป หรือถ้ามีกล้วยเล็บมือนางก็เอากล้วยเล็บมือนางที่ยังดิบอยู่หรือว่าห่ามๆ มาหั่นใส่ลงไป ก็เป็นผักชนิดหนึ่งที่สามารถนำมารับประทานได้ หากเราจะนำไปทำในภาคอื่นก็สามารถที่จะดัดแปลงใช้ผักท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ได้ เพื่อความหลากหลาย นอกจากนำส่วนประกอบอีกชนิดหนึ่งก็คือ ปลา ก็คือปลาทู หรือเนื้อปลาชนิดอื่น เวลาเราไปซื้อมารับประทานเราจะไม่ค่อยเห็นเนื้อปลาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าทำรับประทานเองก็อย่าลืมว่าเราต้องใส่เนื้อปลาด้วย เพราะปลาเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และสามารถรับประทานได้เป็นประจำ รับประทานได้บ่อยๆ ส่วนข้อด้อยของแกงไตปลาคือความเค็ม เพราะว่ารสจะจัดมาก ดังนั้นเวลารับประทานต้องพยายามอย่ารับประทานน้ำแกงไตปลามากนัก และควรพยายามเสริมด้วยเครื่องเคียงที่เป็นผักเช่น แตงกวา สะตอ ถั่วฟักยาว มะเขือ ลูกเนียงซึ่งคนภาคใต้นำมารับประธานพร้อมกับแกงไตปลาหรืออาจจะรับประทานปลาทอดหรืออะไรก็ได้ตามเข้าไป ทำไมจึงต้องระมัดระวังความเค็มเพราะ ความเค็มจะทำให้ไตของเรา ทำงานหนัก เนื่องจากต้องขับความเค็มออกจากร่างกาย แล้วอาจจะทำให้สมดุลของความเป็นกรดด่างของร่างกายลดน้อยลงหรือว่าเสียสมดุลไป นอกจากนี้ความเค็มยังทำให้เกิดปัญหาเรื่องของความดันโลหิตสูง เพราะฉะนั้นคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นความดันโลหิตสูงหรือว่าเป็นอยู่แล้ว ควรรับประทานแกงไตปลาที่ลดรสชาติให้อ่อนลงมาแล้วควรเน้นรับประทานผักให้มากขึ้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของตัวท่านเอง ทั้งนี้ไม่ได้ห้ามไม่ให้รับประทาน แต่ว่าถ้าชอบรับประทานเราก็ต้องรู้ตัวเราเองว่าเรามีความเสี่ยงต่อภาวะอะไรอยู่ ก็สามารถรับประทานได้แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไปโดยเน้นผักเป็นหลัก แล้วก็ได้รสชาติของไตปลาบ้าง ก็จะมีความสุขมากกว่าที่ไม่รับประทานเลยหรือรับประทานมากเกินไปจนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนเป็นอันตรายต่อตัวท่านเอง เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เราต้องรู้จักอาหาร แล้วก็รับประทานพอประมาณเหมาะสมกับร่างก่ายของเรา ก็จะเป็นประโยชน์
 
 




ส่วนผสม:เครื่องแกง

- พริกขี้หนูสวนสด    
40 
เม็ด
- พริกไทยดำ             
1 ½ 
ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมหั่น
1½  
ช้อนโต๊ะ
- ตะไคร้ซอย           
3  
ช้อนโต๊ะ
- ข่าแก่หั่นเป็นท่อน ๆ    
ช้อนโต๊ะ
- ผิวมะกรูดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ      
ช้อนชา
- ขมิ้นชันสด          
1
ช้อนชา
- กะปิ                  
1
ช้อนชา
- กระชายซอย 
3
ช้อนโต๊ะ
 
 
ส่วนประกอบเครื่องปรุงแกงไตปลา
 
- ไตปลาสำเร็จรูป      
½ 
ถ้วย
- ปลาทูย่าง แกะเอาแต่เนื้อ       
1
ถ้วย
- ถั่วฝักยาว           
½ 
ถ้วย
- หน่อไม้ลวกต้มหั่นเป็นชิ้นๆ
1
ถ้วย
- ฟักทองไม่ต้องปลอกเปลือก
½ 
ถ้วย
- น้ำสะอาด                      
1   
ถ้วยชาม
- ส้มแขกแห้ง                  
ชิ้น
- ยอดส้มแป้น                 
ถ้วย
- กล้วยเล็บมือนางดิบ      
½ 
ถ้วย
- มะเขือพวง               
½   
ถ้วย
- มะเขือเปราะ
½ 
ถ้วย

























วิธีทำเครื่องแกง

1.

นำพริกขี้หนูคละสี พริกไทย กระเทียม ข่า ตะไคร้ ขมิ้น ผิวมะกรูด กระชาย และก็กะปิ  นำมาครกแล้วใช้มือที่ถนัดโขลกรวมกันให้ละเอียดเข้ากันดี ตักใส่จานพักไว้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 วิธีทำแกงไตปลา
 
1. ใช้มือที่ทััง2ข้างจับที่หูหม้อแล้ววางบนเตาแก็ส จากนั่นก็เทน้ำลงในหม้อที่วางบนเตาแก็ส น้ำที่เทลงในหม้อประมาณครึ่งลิตร แล้วก็เปิดแก็สใช้ไฟพอประมาณ
 
 
2.พอน้ำเลือดให้ใสเครืองแกงลงไปในหม้อโดยใช้จวักคนให้เครื่องแกงละลาย
3.เมือเวลาผ่านไป15นาทีจากนั่นก็ใสผัก เช่น ฟักทอง มะเขือ ถั่วฝักยาว พร้อมด้วยปลาทูแล้วใช้จวักคนอีกรอบ จากนั่นให้ฉีกใบกรูดลงไปสัก4-5ใบแล้วยกลงจากเตาแก็สแล้วพร้อมรับประธานได้เลย

 
นี้คะแกงไตปลา อาหารหลักของคนภาคใต้